ขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 400 นักการตลาดหวั่นของแพง ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า

จากที่มีกระแสข่าวล่าสุดออกมาจาก คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน  เกี่ยวกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่เคยหาเสียงก่อนเลือกตั้ง ว่าจะให้มีการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเป็น 400 บาท ซึ่งทุกพรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นตรงกันว่าควรต้องปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นอัตราที่เพียงพอต่อผู้ใช้แรงงาน โดยมีเป้าหมายว่าจะให้เป็น 400 บาทต่อวัน ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรนั้น จะกำหนดลงไปในนโยบายและมาตรการของรัฐบาลอีกครั้ง

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้นักวิชาการด้านการตลาด  คุณพลชัย เพชรปลอด อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยศิลปากร อดีตผู้บริหารการตลาด กลุ่มธนบุรีประกอบรถยนต์ ให้ความเห็นว่า หากจะมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 บาท เป็น 400 บาท  นับเป็นการผลักภาระให้นายจ้าง ในฐานะคนเกี่ยวข้องกับธุรกิจคงไม่ปลื้ม คนได้ค่าแรงคงชื่นชอบ แต่อย่าลืมว่า ค่าแรงขึ้น ต้นทุนสินค้าก็ขึ้น ของจะแพงขึ้น ค่าครองชีพวิ่งหนีไปไกลกว่าเดิมอีก

 

ค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่เงินของรัฐบาล เป็นเงินของเอกชน ที่ถูกมัดมือชกด้วยกฎหมาย ฉะนั้น รัฐควรไปหาวิธีทำให้ค่าครองชีพลดลง ทำให้คนค้าขายได้คล่องจะดีกว่า หากทำได้กลไกการขึ้นค่าแรงก็จะเป็นธรรมชาติ ถ้าธุรกิจดี ธุรกิจต้องการคนเก่ง ค่าแรงจะขึ้นตามความเก่ง ตามฝีมือแรงงานเอง

ทางด้าน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภาคการค้าและบริการ จำนวน 1,400 วิสาหกิจทั่วประเทศ เกี่ยวกับเรื่อง การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผลต่อกิจการอย่างไร พบว่า ผู้ประกอบการมีความเห็นว่า ไม่มีผลกระทบร้อยละ 14.75 โดยให้เหตุผลว่า ปกติได้จ่ายค่าจ้างมากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว หรือ ไม่มีการจ้างงานหรือทำกันเองภายในครอบครัว

 

สำหรับ จำนวนผู้ประกอบการ ที่มีความเห็นว่า หากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำธุรกิจจะได้รับผลกระทบในด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 62.61 กำไรลดลง ร้อยละ 10.91 ยอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.59 และได้แรงงานที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 1.13 และธุรกิจจะสามารถแบกรับต้นทุนได้ ร้อยละ 79.55 และไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้เลย ร้อยละ 20.45

ที่มา : เส้นทางเศรษฐี